แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข่าวชุมพร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข่าวชุมพร แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วัยรุ่นชุมพรอำมหิตยิงคู่อริพลาดไม่สะใจถอยรถทับจนตาย


ชุมพร - คู่อริขับรถยนต์ไล่ยิงวัยรุ่นแต่กระสุนพลาด เลยเร่งเครื่องปาดหน้าจน จยย.ล้มกลางถนน แสดงความอำมหิตถอยทับหัวเละ ส่วนเพื่อนอีกคนวิ่งหนีตายได้ทัน หลังมีเรื่องเขม่นกันมาจากสถานบันเทิงกลางเมืองชุมพร
      
       เมื่อเวลา 01.20 น.วันที่ 17 ก.พ.56  พ.ต.ท.พัฒนา กองช่าง สารวัตรเวร สภ.เมืองชุมพร ได้รับแจ้งมีเหตุวัยรุ่นขับรถไล่ยิงกันมีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บที่บริเวณถนนเลียบทางรถไฟ ต.ท่าตะเภา เขตเทศบาลเมืองชุมพร จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยตำรวจชุด นปพ.ชุดสายสืบ และ นพ.วิบูลย์ ทองด้วง แพทย์นิติเวช รพ.ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ หน่วยกู้ภัยมูลนิธิชุมพร
      
       ที่เกิดเหตุเป็นถนนอยู่ในย่านชุมชนกลางเมืองตรงข้ามกับปั๊มน้ำมัน ปตท.ทองมีบริการ ห่างจากสถานบันเทิง ปาป้า 2000” และสถานีรถไฟชุมพร ประมาณ 150 เมตร ที่กลางถนนพบร่างผู้เสียชีวิตทราบชื่อ นายวัชิรา คำผิว หรือต่าง อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 250/16 ถนนไตรรัตน์ ต.ท่าตะเภา อ.เมือง จ.ชุมพร ใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีน้ำตาล นุ่งกางเกงยีนส์สีดำ สภาพศพนอนคว่ำหน้าที่ศีรษะเละกะโหลกเปิดหายไปเกือบหมด เศษชิ้นเนื้อ และมันสมองกระจายเกลื่อนพื้น แขนขาหัก มีแผลฉกรรจ์เหวอะหวะทั่วตัว
      
       บริเวณที่เกิดเหตุข้างถนนมีรถ จยย.ยี่ห้อยามาฮ่า สีขาว รุ่นมีโอ สภาพใหม่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนล้มตะแคงติดอยู่กับฟุตปาธ ห่างจากศพประมาณ 10 เมตร พบนาฬิกาข้อมือ 1 เรือน โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และมีดสปาร์ต้า 1 เล่ม ยาวประมาณ 2 ฟุต ตกอยู่กลางถนน และมีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 1 คน ซึ่งเป็นเพื่อนของผู้ตาย ทราบชื่อ นายศรัญ วงค์สุภาลักษณ์ อายุ 20 ปี บ้านอยู่ใกล้วัดสุบรรณนิมิต เขตเทศบาลเมืองชุมพร ยืนหน้าตื่นอยู่ที่เกิดเหตุ
      
       จากการสอบสวนทราบว่า นายวัชิรา คำผิว หรือฉายา ต่างวัดสุบรรณเนื่องจากมีชื่อเสียงเรื่องยกพวกทะเลาะวิวาทกับวัยรุ่นทั้งใน และนอกพื้นที่อยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่เกรงขามในหมู่วัยรุ่นด้วยกัน จนเป็นที่รู้จักทั่วไป โดยก่อนเกิดเหตุช่วงค่ำ ได้พาเพื่อนๆ 4-5 คน ไปกินเหล้าเลี้ยงฉลองวันเกิดในสถานบันเทิงดิสโก้เธค ปาป้า 2000” และได้มีเรื่องเขม่นกับวัยรุ่นนักเลงต่างถิ่นในสถานบันเทิงดังกล่าว
      
       จนกระทั่งสถานบันเทิงใกล้ปิด กลุ่มผู้ตายได้เดินออกมา และแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยนายศรัญเป็นคนขัยรถ จยย. และนายวัชิรา หรือ ต่างวัดสุบรรณนั่งซ้อนท้ายโดยนายวัชิราได้เอามีดสปาร์ต้าที่ซ่อนไว้ใต้เบาะรถออกมาถือซุกไว้ในเสื้อ ขณะนายศรัญขับรถ จยย.ออกมาได้ราว 100 เมตร กลุ่มวัยรุ่นนักเลงต่างถิ่นคู่อริได้ซุ่มรอดูอยู่ในรถยนต์กระบะอีซูซุตอนครึ่ง สีบรอนซ์เงิน ไม่ทราบทะเบียน เมื่อเห็นนายศรัญขับรถ จยย.ออกไป จึงขับไล่ตามแล้วคนนั่งเบาะข้างได้ชักปืนออกมายิงไล่หลังไป 2 นัด แต่กระสุนพลาด ทำให้นายศรัญเร่งเครื่องรถ จยย.ขับหลบหนี แต่ไม่ทันการณ์ได้ถูกรถยนต์กระบะของคู่อริพุ่งแซงปาดหน้าจนรถ จยย.เสียหลักล้มลง ทำให้นายวัชิราที่นั่งซ้อนท้ายหล่นกลิ้งอยู่กลางถนน ส่วนนายศรัญคนขับ จยย.บาดเจ็บเล็กน้อยได้วิ่งหนีหลบเข้าไปในปั๊มน้ำมัน
      
       จากนั้นปรากฏว่า รถยนต์กระบะคันดังกล่าวหลังจากได้ขับปาดหน้ารถ จยย.จนเสียหลักล้มลง คนขับได้เบรกรถแล้วถอยหลังกลับมาด้วยความเร็วพุ่งทับไปที่ศีรษะและร่างของนายวัชิรา หรือ ต่างวัดสุบรรณที่ได้รับบาดเจ็บร้องครวญครางอยู่กลางถนนจนกะโหลกระเบิดออกเป็นชิ้นๆ มันสมองกระเกลื่อนบริเวณ แล้วคนขับได้ขับรถเดินหน้าทับร่างของนายวัชิราอีกรอบ จากนั้นได้เร่งเครื่องหลบหนีมุ่งหน้าไปทางสะพานคู่ข้ามรางรถไฟออกไปตามถนนสายเมืองชุมพร ตำรวจได้วิทยุสกัดตามเส้นทางหลบหนีแต่ไร้วี่แวว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมกลุ่มวัยรุ่นนักเลงต่างถิ่นมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
โดย.. ASTV Manager ภาคใต้

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ชุมพรประกาศปิดอ่าว 3 เดือน หวังเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ


ชุมพร - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศปิดอ่าว 3 เดือน ช่วงฤดูปลาวางไข่และเลี้ยงตัวอ่อน เผยผลการปิดอ่าวในช่วงนี้ทำปริมาณสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น
          ที่ลานอเนกประสงค์เทศบาลตำบลปากน้ำหลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี ประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ ในฤดูปลามีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัวในวัยอ่อน หรือปิดอ่าว ประจำปี 2556 โดยมี ดร.วิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมง นายปฐม สาธิตานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร พร้อมด้วยผู้บริหารกรมประมง ตัวแทนสมาคมประมง จาก จ.ประจวบคิรีขันธ์ ชุมพร และ จ.สุราษฎร์ธานี ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ ร่วมพิธีหลายพันคน
      
       โดยพิธีประกาศปิดอ่าวอย่างเป็นทางการ ได้มีพิธีบวงสรวงพระรูป พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงค์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ การปล่อยเรือตรวจการณ์ประมงออกปฏิบัติการในทะเล และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อเพิ่มทรัพยากรประมง
          ดร.วิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ ในฤดูปลามีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัวในวัยอ่อน หรือปิดอ่าว บังคับใช้มาตั้งแต่ พ.ศ.2496 มีการปรับปรุงแก้ไขให้มีความเหมาะสมหลายครั้ง ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ใช้บังคับในปัจจุบัน เป็นประกาศ ฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2550 ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ระหว่างวันที่ 15 ก.พ.-15 พ.ค. ของทุกปี เป็นระยะเวลาห้ามทำการประมงด้วยเครื่องมือประมงบางชนิด ในพื้นที่ประมาณ 26,400 ตารางกิโลเมตร หรือ 16.5 ล้านไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ทะเลบางส่วนของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และ จ.สุราษฎร์ธานี
      
       ทั้งนี้ จากการประเมินผลทางวิชาการ ตามมาตรการปิดอ่าว ปี 2554-2555 พบว่า ทรัพยากรสัตว์น้ำ โดยเฉพาะปลาทูฟื้นฟูได้อย่างเห็นชัดเจน มีปริมาณการจับเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนปิดอ่าวมากกว่า 2 เท่า สามารถรักษาระดับปริมาณเฉลี่ยได้กว่า 1 แสนตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท การประกาศปิดอ่าวจึงเป็นแนวทางอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนที่ชาวประมงต้องช่วยกันปฏิบัติตามประกาศอย่างเคร่งครัด
โดย.. ASTV Manager ภาคใต้

ตร.ชุมพรรวบผู้ต้องตามหมายจับความมั่นคงชายแดนใต้ พร้อมยาบ้า-ไอซ์ กว่า 10 ล้าน


ชุมพร - ตำรวจชุมพรรวบผู้ต้องหาหมายจับคดีความมั่นคงชายแดนใต้ ลักลอบขนยาเสพติดได้ยาบ้ากว่า 40,000 เม็ด ยาไอซ์ 1 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท      
       วันที่ 14 ก.พ.56 ที่กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร พล.ต.ท.ยงยุทธ เจริญวานิช ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.เอิบ คงกล่ำ ผบก.ภ.จว.ชุมพร แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดีสำคัญตามหมายจับ พ.ร.บ.ฉุกเฉิน ก่อความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
      
       ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก พ.ต.อ.วิมล พิทักษ์บูรพา ผกก.สภ.เมืองชุมพร ได้นำกำลังตั้งด่านตรวจป้องกันปัญหายาเสพติด และอาชญากรรม จนสามารถจับกุม นายมะยา มะแซะมะ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 22/4 หมู่ 4 ต.ปะกาฮะรัง อ.เมือง จ.ปัตตานี นายสักกือรี แนปาแด อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 125 หมู่ 1 ต.รูสะมิแด อ.เมือง จ.ปัตตานี พร้อมของกลางยาบ้า 40,000 เม็ด ยาไอซ์ 1 กิโลกรัม รวมมูลค่ากว่า 11 ล้านบาท และรถยนต์กระบะ 4 ประตู มิตซูบิชิ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กย 6331 ชลบุรี เงินสด 20,760 บาท ได้ที่บริเวณถนนเพชรเกษม สายชุมพร-ระนอง หลัก กม.ที่ 508 หมู่ 6 ต.วังใหม่ อ.เมือง จ.ชุมพร ขณะขับรถหลบหนีด่านตรวจจนเสียหลักพลิกคว่ำที่บริเวณดังกล่าว จนเป็นเหตุให้ นายสักกือรี แนปาแด อายุ 33 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกควบคุมตัวอยู่ที่โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ส่วนนายมะยา มะแซะมะ อายุ 34 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 รายถูกตำรวจจับกุมหลังประสบอุบัติเหตุ
      
       นอกจากนั้น ยังมีผลงานการจับกุมของ พ.ต.ท.ฉลาด พลนาการ รอง ผกก. (ป.) สภ.เมืองชุมพร ปฎิบัติหน้าที่หัวหน้าด่านตรวจถาวรประตูภาคใต้ บ้านพละ หมู่ 3 ถ.เพชรเกษม ต.เขาไชราช อ.ปะทิว จ.ชุมพร พร้อมกำลังตั้งด่านตรวจสามารถจับกุม น.ส.สวาด วงค์คลัง อายุ 33 ปี นายนาวี ศรีจันทร์เคน อายุ 34 ปี นายอภินันท์ แซ่กู่ อายุ 25 ปี น.ส.พัทธนันท์ พรหมเพชร อายุ 32 ปี นายธานี คงรักษ์ อายุ 31 ปี และนายภูมิพัฒน์ แก้วทับทิม อายุ 33 ปี โดยนายภูมิพัฒน์ ได้แสดงบัตรประจำตัวนายทหารยศ ร.ต.ภูมิพัฒน์ แก้วทับทิม สังกัดกองทัพบก ลงเลขที่ 34/54 และได้ฉวยโอกาสวิ่งขึ้นรถที่ขับติดตามมาอีกคันที่จอดรอดูท่าทีอยู่หลบหนีไปได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบต้นสังกัดว่าเป็นนายทหารจริง หรือแอบอ้าง โดยตำรวจสามารถตรวจยึดของกลางรถยนต์กระบะ 2 คัน ยาบ้ารวม 22,294 เม็ด เงินสด 100,000 บาท อาวุธปืนขนาด 6.35 ไม่มีทะเบียน 1 กระบอก
      
       พล.ต.ท.ยงยุทธ เจริญวานิช ผบช.ภ.8 กล่าวว่า จากนโยบายมาตรการตั้งด่านตรวจจุดตรวจเข้มแข็ง และมาตรการกวาดล้างยาเสพติด ส่งผลให้สามารถจับกุมแก๊งค้ายาเสพติดในพื้นที่ จ.ชุมพร ได้จำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นประตูภาคใต้ และทางผ่านไปยังจังหวัดอื่นๆ ของภาคใต้ โดยเฉพาะการจับกุม นายสักกือรี แนปาแด อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 125 หมู่ 1 ต.รูสะมิแด อ.เมือง จ.ปัตตานี และพวก พร้อมของกลางยาบ้า 40,000 เม็ด ยาไอซ์ 1 กิโลกรัม
      
       จากการตรวจสอบประวัติพบว่า นายสักกือรี มีหมายจับศาลจังหวัดปัตตานี หมายที่ ฉฉ.201/2550 ข้อหาเป็นบุคคลต้องสงสัยตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มีส่วนพัวพันเกี่ยวกับคดีก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งขณะนี้ได้ประสานหน่วยงาน ป.ป.ส.และความมั่นคงมาสอบสวนขยายผลถึงขบวนการค้ายาเสพติดซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ต่อไปแล้ว
โดย.. ASTV Manager ภาคใต้

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

มอดไม้แสบแอบกานเปลือกไม้เขตอุทยาน นภอ.สวี สั่งดำเนินคดีเฉียบขาด




ชุมพร - นายอำเภอสวี นำกำลังบุกยึดป่าต้นน้ำ หลังถูกกลุ่มนายทุนใช้มีดกานโคนไม้หวงห้ามยืนต้นตายจำนวนมาก
      
       วันที่ 19 ม.ค.56  นายประจินต์ ธารศิริสิน นายอำเภอสวี จ.ชุมพร พร้อมด้วย นายธันญพิสิษฐ์ บุตรพะพาย หัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ชพ.1 อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร นายนิรันดร์ รัตนศิลา กำนันตำบลด่านสวี นายสนั่น หนูอิ่ม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ต.ด่านสวี นายอัมพร ขาวศิริ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชพ.12 พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบป่าอุทยานแห่งชาติ หมู่ที่ 4 ต.ด่านสวี อ.สวี จ.ชุมพร ภายหลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีกลุ่มนายทุนบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าบนยอดเขา ทำให้ป่าไม้ถูกทำลายจำนวนมาก
          ที่เกิดเหตุเป็นป่าภูเขา บ่อคาเป็นภูเขาสูงชัน มีไม้นานาพันธุ์จำนวนมาก จากการตรวจสอบพบว่า บริเวณเขาดังกล่าวมีการบุกรุกโค่นต้นไม้ใหญ่ และมีการใช้มีดกานเปลือกรอบๆ โคนต้นเพื่อให้ไม้ยืนต้นตายอยู่จำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้เคียมอายุราว 20- 50 ปี นอกจากนั้น บริเวณเชิงเขามีการแผ้วถางเผาป่าเอาพื้นที่ไปปลูกเป็นสวนยางพาราอีกจำนวนมาก จากการตรวจจับด้วยเครื่องมือวัดพิกัดจีพีเอส พบว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในอ่าวบ้านบ่อคา ซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร หลังตรวจสอบเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดพื้นที่บุกรุก และถูกทำลายทั้งหมดซึ่งมีอยู่หลายจุด รวมพื้นที่เกือบร้อยไร่
          นายประจินต์ ธารศิริสิน นายอำเภอสวี จ.ชุมพร เปิดเผยว่า สำหรับผืนป่าเขตอุทยานแห่งชาติดังกล่าว ถือเป็นเป็นป่าต้นน้ำผืนสุดท้ายของ อ.สวี จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจยึดพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกทำลายทั้งหมด แล้วให้สืบสวนสอบสวนติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลมาจากไหนก็ตาม และให้จัดกำลังเข้าไปเฝ้าพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบุกรุกเพิ่มอีก และให้รื้อถอนต้นยางพาราในจุดดังกล่าวทั้งหมด ทราบว่า มีกลุ่มนายทุน และคนในท้องถิ่นหลายรายที่เป็นตัวการบุกรุกป่าดังกล่าว
ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

หน่วยงานรัฐเข้าช่วยเหลือสองตายายไร้ญาติวัย 85 ปีแล้ว




ชุมพร - หน่วยงานรัฐเข้าช่วยเหลือสองตายายไร้ญาติวัย 85 ปี นอนรอความตายอยู่ในกระต๊อบริมคลอง ส่งแพทย์ตรวจสุขภาพ จัดหาที่อยู่ใหม่ พร้อมมีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างดี
      
       
จากกรณีที่ น.ส.สุทธิดา หน่อแก้ว อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 449/4 หมู่ 3 ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ชุมพร พนักงานของบริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) แจ้งผู้สื่อข่าวว่าพบ นายเจือ และนางพะยอม กองเจ สองตายายซึ่งเป็นสามีภรรยากัน อายุประมาณ 85 ปี ทั้งคู่เดินไม่ได้เพราะความแก่ชรา และไม่มีญาติดูแล อาศัยอยู่ในกระต๊อบร้างหลบแดดฝน อยู่บริเวณริมคลองอีเล็ค หมู่ 2 ต.ท่ายาง อ.เมือง จ.ชุมพร ห่างจากถนนสายชุมพร- ปากน้ำชุมพร ประมาณ 10 เมตร วอนหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
      
       
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 09.00 น วันที่ 16 ม.ค.56  น.ส.วัลภา แก้วสวี นักสังคมสงเคราะห์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ชุมพร น.ส.บุญธรรม แพทย์พงษ์ หัวหน้าสำนักปลัดเทศบาลตำบลท่ายาง พร้อมเจ้าหน้าที่ได้ไปที่กระต๊อบหลังดังกล่าว ที่ นายเจือ กองเจ กับ นางพะยอม กองเจ สองตายายอาศัยอยู่ ซึ่งทั้งคู่ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ แต่ยังนั่ง และขยับตัวอยู่ภายในกระต๊อบกว้างยาวประมาณ 2 เมตรได้ โดยพบนายเจือกำลังใช้ฟืนก่อไฟต้มน้ำอยู่บนพื้นภายในกระต๊อบ เพื่อจะเอาน้ำที่เดือดใส่ถุงร้อนไว้ประคบท้องให้แก่นางเจือภรรยาที่นอนป่วยด้วยโรคชราและอาการเจ็บท้องอยู่ใกล้ๆ กัน
      
       
ภายในกระต๊อบมีสิ่งของเครื่องใช้เสื้อผ้าวางระเกะระกะคล้ายกองขยะ ส่งกลิ่นเหม็นโชยคลุ้งทั่วบริเวณ และมีมด แมลงวันไต่ตอมอยู่ทั่ว โดยภาพของสองตายายเห็นแล้วเป็นที่หดหู่ใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เนื่องจากกระต๊อบหลังดังกล่าวมีสภาพคับแคบเป็นทั้งที่นอนที่กินที่ขับถ่าย จากการสอบถามชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงบอกว่า ทั้งสองตายายอาศัยอยู่ในกระต๊อบข้างคลองอีเล็คมานานกว่า 20 ปีแล้ว จนปัจจุบันทั้งคู่ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ตามปกติ เนื่องจากความแก่ชรา มีเพียงชาวบ้านที่ผ่านมาพบเห็นแล้วสงสารคอยแวะเวียนมาดูแลเอาอาหารมาให้กินไปวันๆ เท่านั้น
             น.ส.วัลภา แก้วสวี นักสังคมสงเคราะห์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ชุมพร และ น.ส.บุญธรรม แพทย์พงษ์ หัวหน้าสำนักปลัดเทศบาลตำบลท่ายาง ได้พยายามทักทายพูดคุยกับ นายเจือ นางพะยอม สองตายาย แต่ทั้งสองไม่ค่อยได้ยินและพูดจาสั่นเครือ เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจนำสองตายายไปตรวจสุขภาพ และรักษาตัวที่โรงพยาบาลปากน้ำชุมพร ซึ่งอยู่ห่างจากกระต๊อบที่สองตายายพักอาศัยประมาณ 2 กิโลเมตร เมื่อเจ้าหน้าที่นำตัว นายเจือ กับ นางพะยอม ไปถึงโรงพยาบาลปากน้ำชุมพร แพทย์ได้นำตัวเข้าห้องตรวจสุขภาพ โดยทั้งสองตายายมีท่าทีตื่นกลัวจนเนื้อตัวสั่นหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา
      
       
นางสุนิสา น้ำใจสุข พยาบาลเวชปฎิบัติ โรงพยาบาลปากน้ำชุมพร กล่าวว่า เบื้องต้นได้ตรวจสุขภาพทั่วไปก่อน เนื่องจากทั้งสองตายยายเป็นผู้สูงอายุไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติ จึงต้องให้นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลไปก่อนเพื่อฟื้นฟูตรวจเช็กสุขภาพ หลังจากนั้นก็จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับตัวไปได้
                ด้าน น.ส.วัลภา แก้วสวี นักสังคมสงเคราะห์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ชุมพร กล่าวว่า เท่าที่ตรวจสอบเบื้องต้น นายเจือกับนางพะยอม สองตายายไม่มีหลักฐานประจำตัวใดๆ ทั้งสิ้น อายุประมาณ 80-85 ปี จากการสอบถามข้อมูลทั่วไปจากชาวบ้านในพื้นที่พอทราบว่า นายเจือเป็นคน จ.เพชรบุรี ได้อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ จ.ชุมพร หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอายุประมาณ 10 กว่าปี โดยยึดอาชีพรับจ้างทั่วไป และทำประมง จนได้เจอกับนางพะยอม และอยู่กินด้วยกันจนถึงปัจจุบัน ทั้งคู่ไม่มีบุตร และไม่มีญาติ แล้วพากันมาอาศัยอยู่ในกระต๊อบริมคลองอีเล็คดังกล่าวจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
      
       
น.ส.วัลภา กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้ประสานงานกับ น.ส.เอี่ยม มากอำไพ นายกเทศมนตรีตำบลท่ายาง เจ้าของพื้นที่แล้ว โดยได้เช่าบ้านพักอยู่ใกล้กับที่ทำการเทศบาลตำบลท่ายาง เพื่อไว้ให้นายเจือและนางพะยอมได้อยู่อาศัยหลังจากออกจากโรงพยาบาล โดยมี อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ หรือ อสผ. และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล คอยไปดูแลสุขภาพ และจัดอาหารให้วันละ 3 มื้อ พร้อมดำเนินการช่วยเหลือเรื่องสวัสดิการเบื้องต้นด้วย
      
       “
นอกจากนั้น ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อคอยติดตามดูแลให้ความช่วยเหลือแก่สองตายาย โดยมี น.ส.เอี่ยม มากอำไพ นายกเทศมนตรีตำบลท่ายาง เป็นประธานกรรมการ พร้อมเปิดบัญชีธนาคารชื่อ เงินช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส” (นายเจือ กองเจ นางพะยอม กองเจ) ธนาคารกรุงไทย สาขาชุมพร หมายเลขบัญชี 803-0-52399-8 ซึ่งผู้ใจบุญที่ต้องการช่วยเหลือสองตายายสามารถบริจาคโดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารดังกล่าวได้น.ส.วัลภา แก้วสวี นักสังคมสงเคราะห์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ชุมพร กล่าว
ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

ชาวสวนปาล์มชุมพรให้เวลารัฐ 1 อาทิตย์ เคลียร์ปัญหาซื้อปาล์มกิโล 4 บาท




ชุมพร - ชาวสวนปาล์มชุมพรให้เวลาภาครัฐดำเนินการขั้นตอนต่างๆ ในการรับซื้อปาล์มกิโลกรัมละ 4 บาท ภายใน 1 สัปดาห์จากนี้ พ้นเวลายังซื้อไม่ได้เตรียมชุมนุมใหญ่ปิดถนนอีกรอบแน่
      
       หลังจากที่ชาวสวนปาล์มน้ำมันประมาณ 1,000 คน ในจังหวัดชุมพร ได้มารวมตัวบริเวณหน้าศูนย์ราชการจังหวัดชุมพร ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.56 ที่ผ่านมา เพื่อทวงถามมติที่รัฐบาลประกาศให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน ณ หน้าโรงงาน และ ลานเท รับซื้อจากเกษตรกรที่อัตราน้ำมัน 17% ในราคาไม่ต่ำกว่า กก.ละ 4 บาท และอัตราน้ำมัน 18.50% ให้รับซื้อในราคาไม่ต่ำกว่า กก.ละ 4.35 บาทนั้น แต่เกษตรกรชาวสวนปาล์มยังไม่สามารถขายผลผลิตได้ตามที่รัฐบาลประกาศแทรกแซง เนื่องจากการบริหารจัดการของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ได้เข้าไปดำเนินการช่วยเหลืออย่างจริงจัง ทำให้ชาวสวนปาล์มยังได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าว และได้มีรวมตัวชุมนุมที่หน้าศาลากลางจังหวัด และปักหลักอยู่ค้างคืนเพื่อรอคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
      
       ความคืบหน้าล่าสุด นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผวจ.ชุมพร นายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เชิญตัวแทนจากโรงงานสกัด และโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มน้ำมันในพื้นที่ จ.ชุมพร เจ้าของลานเท และแกนนำกลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์มข้าร่วมประชุมเพื่อวางแนวทาง และมาตรการในการช่วยเหลือและขั้นตอนในการรับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรรายย่อย และเพื่อเสนอแนะเงื่อนไขต่อในที่ประชุมเพื่อให้เป็นทิศทางเดียวกัน
      
       โดยใช้เวลาประชุมนานร่วม 3 ชั่วโมง ได้ข้อสรุปว่า เนื่องจากโควตาที่ได้รับ จากองค์การคลังสินค้า หรือ อคส.ได้หมดลงพอดี และได้รับแจ้งจากคณะกรรมการนโยบายปาลมน้ำมันแห่งชาติ หรือ กนป. ว่า ได้อนุมัติโควตาน้ำมันปาล์มล็อตใหม่ให้แก่ จ.ชุมพร อีก 10,365 ตัน แต่ต้องใช้เวลาดำเนินการด้านเอกสาร และอื่นๆ ซึ่งจะสามารถรับซื้อตามราคาเดิมตามเปอร์เซ็นต์น้ำมันราคากิโลกรัมละ 4-4.35 บาท ได้ภายใน 1 สัปดาห์ แต่ช่วงระยะนี้จึงขอให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม และลานเทรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 3.50 บาท และลานเทตามหมู่บ้าน ชุมชนต่างๆ รับซื้อปาล์มที่กิโลกรัมละละ 3.20 บาท หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์ ก็จะให้เป็นไปตามกลไกตามที่รัฐประกาศรับซื้อในราคาแทรกแซง และจะไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติเหมือนที่ผ่านมาอีก
       
       จากข้อสรุปดังกล่าว ชาวสวนปาล์มน้ำมันยินยอมรับมติ และคำชี้แจงจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และภายใน 1 สัปดาห์ หากรัฐบาลยังไม่รับซื้อในราคาประกาศแทรกแซงจะมารวมตัวประท้วงกดดันกันอีกครั้งที่บริเวณหน้าพระใหญ่ ถนนเอเชีย 41 ต.ทุ่งคา อ.เมือง จ.ชุมพร จากนั้น แกนนำ และกลุ่มเกษตรชาวสวนปาล์มได้สลายตัวไปในที่สุด
ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

ผู้ใหญ่บ้านหญิงชุมพรช่วยสามีเก็บมังคุด เคราะห์ร้ายตกลงมาคอหักเสียชีวิต



สลด! ผู้ใหญ่บ้านหญิง 2 สมัยใน อ.หลังสวน ช่วยสามีขึ้นไปเก็บมังคุดสูง 12 เมตร เคราะห์ร้ายกิ่งหักพลัดตกลงมาคอหักเสียชีวิต
                 เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 12 ม.ค.56  ร.ต.ต.นภัส ดวงสถิตย์ ร้อยเวร สภ.บ้านในหูต อ.หลังสวน จ.ชุมพร รับแจ้งจากโรงพยาบาลหลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร ว่ามีผู้ประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากต้นไม้ และเสียชีวิตก่อนจะถึงโรงพยาบาล จึงเดินทางไปตรวจสอบ ทราบผู้เสียชีวิตชื่อ นางพินญา มาศกสิน อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 89 หมู่ที่ 11 ต.แหลมทราย อ.หลังสวน จ.ชุมพร ผู้ตายมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ต.แหลมทราย อ.หลังสวน จากการชันสูตรศพพบว่า คอหัก กระดูกซี่โครงหัก 4 ซี่แทงทะลุปอด และกระดูกอีกหลายส่วนภายในร่างกายหักจนน่วมไปทั้งตัว
      
       จากการสอบสวน นายอาคม มาศกสิน อายุ 55 ปี สามีของผู้ตาย และเป็นอดีตกำนันตำบลแหลมทราย ทราบว่า ช่วงเช้านายอาคมพร้อมกับนางพินญา ผู้ตายซึ่งเป็นภรรยา ได้ออกไปช่วยกันเก็บผลมังคุดที่สวนข้างบ้าน เนื่องจากปัจจุบันหาแรงงานมารับจ้างเก็บผลมังคุดยากมากจึงต้องช่วยทำกันเอง โดยในช่วงเกิดเหตุนั้น นายอาคมได้แยกย้ายไปขึ้นเก็บผลมังคุดอีกต้นซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน
                 ต่อมา ได้ยินเสียงคล้ายกิ่งไม้หัก และมีเสียงเหมือนของหนักหล่นลงกระแทกพื้น และมีเสียงร้องด้วยครวญครางด้วยความเจ็บปวด จึงลงจากต้นมังคุดแล้ววิ่งไปดู พบว่า นางพินญาตกลงมาจากต้นมังคุดขนาดใหญ่ สูงประมาณ 12 เมตร ในสภาพหน้าคว่ำกระแทกติดอยู่กับพื้นดิน และดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดแล้วแน่นิ่งไป จึงได้อุ้มร่างของภรรยาวิ่งไปขึ้นรถยนต์กระบะรีบนำไปส่งโรงพยาบาลหลังสวน แต่ก็ทราบจากแพทย์ว่าภรรยาได้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุก่อนแล้ว
      
       สำหรับ นางพินญา มาศกสิน ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 11 ต.แหลมทราย อ.หลังสวน จ.ชุมพร เป็นสมัยที่ 2 เป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความรักใคร่ ตั้งใจทำงานให้แก่หมู่บ้านและส่วนรวมมาโดยตลอด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ชาวนาชุมพรเข้าร่วมโครงการกิจกรรม 84 ตำบล ขายได้ราคาดีกว่าประกันราคาของรัฐบาล



ชุมพร - ชาวนาข้าวในจังหวัดชุมพร เข้าร่วมโครงการกิจกรรม 84 ตำบล ปุ๋ยลดต้นทุนเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขายได้ตันละ 16,000 บาท สูงกว่าราคารัฐบาลรับประกันชาวนา
      
       นายสุทัศน์ สุทธิพล อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1/2 ต.บางลึก อ.เมือง จ.ชุมพร บอกว่า ก่อนหน้าที่จะได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ตนเองได้ปลูกข้าวไว้เพียงเพื่อบริโภคในครัวเรือนของแต่ละปีเท่านั้น ไม่เคยคิดที่จะทำนาปลูกข้าวไว้ขาย เพราะมีปัจจัยหลายอย่างไม่เอื้ออำนวยโดยเฉพาะปุ๋ยเคมีที่มีราคาสูง หากทำเชิงพาณิชย์จะไม่คุ้มทุน และบางปีต้องเจอศัตรูพืชระบาดกัดกินต้นข้าวสร้างเสียหายอย่างหนัก จนขาดทุนเป็นหนี้สิน
      
       นายสุทัศน์กล่าวอีกว่า หลังจากที่ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ในกิจกรรม 84 ตำบล ปุ๋ยลดต้นทุนเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระชนมายุ 84 พรรษา ลงมาในพื้นที่จังหวัดชุมพร ตนเองได้เสนอตัวขอเข้าร่วมโครงการดังกล่าว โดยทางสำนักงานเกษตรจังหวัด และสำนักงานพัฒนาที่ดินได้ลงมาตรวจสอบพื้นที่นาของตน และเห็นว่าในตำบลบางลึก มีความเหมาะสมที่สามารถทำนาในรูปแบบการใช้ปุ๋ยเพื่อลดทุนการผลิตได้ จึงได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่นักวิชาการด้านการเกษตรแนะนำ ทั้งการเลือกพันธุ์ข้าวให้เหมาะกับแปลงนา การใช้ปุ๋ยอินทรีย์อย่างถูกวิธี เช่น การดูแลรักษา การกำจัดศรัตรูพืช และมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในจังหวัดชุมพรได้เข้าร่วมอีก 8 ราย โดยใช้พื้นที่นาของตนในหมู่ที่ 6 ต.บางลึก อ.เมือง จ.ชุมพร จำนวน 30 ไร่ เป็นแปลงสาธิต
      
       จากการเก็บเกี่ยวข้าวในแปลงสาธิต 2 รอบที่ผ่านมา พบว่าได้ปริมาณข้าวเพิ่มมากขึ้น สามารถแบ่งแยกเก็บไว้บริโภคในครัวเรือน แล้วยังนำไปขายให้แก่โรงสีข้าวในจังหวัดชุมพร ได้ในราคาตันละ 16,000 บาท ซึ่งสูงกว่าเข้าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลถึง 2,000 กว่าบาท และที่สำคัญ สามารถลดต้นทุนการผลิตได้เกือบเท่าตัว ซึ่งหลังจากนี้ไปตนเองพร้อมกลุ่มชาวนาในแปลงสาธิตจะเป็นต้นแบบให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในจังหวัดชุมพร ซึ่งมีอยู่กว่า 1,800 ราย ได้เข้ามาศึกษา และเป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวปทุมธานี 2 แจกจ่ายให้แก่เกษตรกรชาวนาที่ต้องการนำไปปลูกอีกด้วย
      
       นอกจากนี้ ก่อนเข้าโครงการดังกล่าว เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในจังหวัดชุมพร ตนและชาวนาที่นี่จะปลูกกล้าข้าวแน่นเกินไปคิดว่าจะได้ผลผลิตมาก แต่ปรากฏว่า ทำให้เพลี้ยกระโดดซึ่งเป็นศัตรูพืชตัวฉกาจแพร่ระบาดได้ง่าย สร้างความเสียหายให้แก่ชาวนาเป็นอย่างมาก ต่อมาได้รับองค์ความรู้เพิ่มเติมจากสำนักงานเกษตรจังหวัด ให้ปลูกกล้าข้าวให้ห่างกันแต่ละกอประมาณ 1 คืบ เพื่อความเหมาะสมของอุณหภูมิระหว่างกอข้าว ทำให้การแพร่ระบาดของเพลี้ยกระโดดหมดไป ปัจจุบัน จะมีก็เพียงหนูเท่านั้นที่มากัดกินซึ่งก็กำจัดโดยใช้กรงดักหนู แต่ก็ยังนับว่าโชคดีเนื่องจากมีนกปากห่างที่เคลื่อนย้ายอพยพมาจากภาคกลาง มาอยู่อาศัยในพื้นที่หาอาหารกินอยู่ตามผืนนา จึงเหมือนเป็นยามตามธรรมชาติคอยมาไล่หนู และจิกกินหอยเชอรี่เป็นอาหาร ทำให้นาข้าวของชาวนาในพื้นที่ มีต้นข้าวเจริญเติบโตชูรวงได้อย่างสมบูรณ์ และลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และยังเป็นแปลงนาข้าวที่อนุรักษ์ระบบนิเวศอีกด้วย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์