“พะยูน” สัตว์อนุรักษ์ที่ได้ชื่อว่ามีมากที่สุดใน จ.ตรัง จนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งประเทศในขณะนี้นั้น ช่วงหลายปีที่ผ่านมีข่าวปรากฏให้ได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเรื่องของ “ความสูญเสีย” ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพียงแค่ก่อนหน้านี้ระยะความถี่อาจจะอยู่ในภาวะที่ยอมรับได้
แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาประมาณ 30 วัน ช่วงรอยต่อระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน 2555 ที่ผ่านมานั้น ทำให้ผู้ที่รับทราบเริ่มแสดงถึงความรู้สึกที่น่าห่วงใย กับการตายจากไปของสัตว์อนุรักษ์ชนิดนี้ถึงจำนวน 3 ตัว แม้คาดว่าจะมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไปก็ตามที
แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาประมาณ 30 วัน ช่วงรอยต่อระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน 2555 ที่ผ่านมานั้น ทำให้ผู้ที่รับทราบเริ่มแสดงถึงความรู้สึกที่น่าห่วงใย กับการตายจากไปของสัตว์อนุรักษ์ชนิดนี้ถึงจำนวน 3 ตัว แม้คาดว่าจะมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไปก็ตามที
เริ่มจาก “พะยูน” เพศเมีย อายุประมาณ 7 ปี น้ำหนัก 304 กก.และยาว 2.70 เมตร ได้ตายลงในพื้นที่ อ.กันตัง แต่ที่บริเวณลำตัวไม่พบบาดแผลใดๆ โดยที่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ และกำลังรอผลการผ่าพิสูจน์จากสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและป่าชาย เลน จ.ภูเก็ต
ถัดจากนั้นมา เป็นเพศผู้ อายุประมาณ 3 ปี น้ำหนัก 60-70 กก.และยาว 1.30 เมตร ลอยตายอยู่ที่บริเวณเขตรอยต่อ ระหว่างเขาน้อย-หาดหยงหลิง หมู่ที่ 6 ต.เกาะลิบง อ.กันตัง แต่ที่น่าสลดใจ ก็คือ ที่บริเวณหัว พบร่องรอยถูกทุบจนกะโหลกร้าวและยุบ รวมทั้งยังพบร่องรอยถลอกของผิวหนังด้วย
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานสาเหตุการตาย ว่า อาจมาจากการถูกทุบด้วยของแข็ง หรืออาจไปกระแทกเข้ากับเรือของชาวประมง เนื่องจาก “พะยูน” เป็นสัตว์ที่เชื่องเหมือนกับ “โลมา” และเมื่อเรือแล่นผ่านมา จึงรีบว่ายน้ำเข้าไปหาโดยไม่ระวัง ส่วนรอยแผลที่หางน่าจะมาจากถูกเพลียงกัด
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานสาเหตุการตาย ว่า อาจมาจากการถูกทุบด้วยของแข็ง หรืออาจไปกระแทกเข้ากับเรือของชาวประมง เนื่องจาก “พะยูน” เป็นสัตว์ที่เชื่องเหมือนกับ “โลมา” และเมื่อเรือแล่นผ่านมา จึงรีบว่ายน้ำเข้าไปหาโดยไม่ระวัง ส่วนรอยแผลที่หางน่าจะมาจากถูกเพลียงกัด
ส่วนตัวล่าสุดเป็นเพศผู้อายุประมาณ 20 ปี น้ำหนัก 200 กก.และยาว 2 เมตร ลอยตายอยู่ที่บริเวณหัวแหลมหญ้า หมู่ที่ 3 ต.เกาะลิบง อ.กันตัง แต่ที่บริเวณลำตัวไม่พบบาดแผลใดๆ ส่วนสาเหตุเบื้องต้นสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากการแย่งชิงตัวเมียระหว่างตัวผู้ด้วยกันเพื่อผสมพันธุ์กัน
สำหรับสถานการณ์ของสัตว์อนุรักษ์ชนิดนี้ เฉพาะในพื้นที่ ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง ซึ่งเป็นแหล่งหญ้าทะเลขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย ซึ่งจากการสำรวจล่าสุดพบว่า มีเหลืออยู่ประมาณ 60 ตัว โดยมีจำนวนลดลงไปจากเดิมประมาณ 20% ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและป่าชายเลน จ.ภูเก็ต ก็ได้ทำการสำรวจเช่นกัน โดยล่าสุดมี "พะยูน" เหลืออยู่ใน จ.ตรัง ประมาณ 115-120 ตัว ต่างไปจากเมื่อปี 2552 ซึ่งมีการสำรวจพบถึง 130 ตัว ซึ่งข้อมูลนี้จะแสดงให้เห็นว่าเริ่มมีจำนวนลดลงไปในระดับหนึ่งแล้ว
สำหรับสถานการณ์ของสัตว์อนุรักษ์ชนิดนี้ เฉพาะในพื้นที่ ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง ซึ่งเป็นแหล่งหญ้าทะเลขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย ซึ่งจากการสำรวจล่าสุดพบว่า มีเหลืออยู่ประมาณ 60 ตัว โดยมีจำนวนลดลงไปจากเดิมประมาณ 20% ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและป่าชายเลน จ.ภูเก็ต ก็ได้ทำการสำรวจเช่นกัน โดยล่าสุดมี "พะยูน" เหลืออยู่ใน จ.ตรัง ประมาณ 115-120 ตัว ต่างไปจากเมื่อปี 2552 ซึ่งมีการสำรวจพบถึง 130 ตัว ซึ่งข้อมูลนี้จะแสดงให้เห็นว่าเริ่มมีจำนวนลดลงไปในระดับหนึ่งแล้ว
“นายประจวบ โมฆรัตน์” ผู้อำนวยการ ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 จ.ตรัง วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้สัตว์อนุรักษ์ชนิดนี้ มีปริมาณลดลงว่า น่าจะมาจากหลายส่วน ทั้งปัญหาที่หญ้าทะเลลดลงประมาณ 20% หรือฤดูกาลของหญ้าทะเลบางชนิดที่มีวงจรการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน
นอกจากนั้น ยังมีปัญหามาจากผลกระทบจากตะกอนที่เกิดจากการขนส่งทางทะเล รวมทั้งปัญหาการเปิดหน้าดิน หรือการชะล้างมาจากพื้นที่บนฝั่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่จะทำให้ “พะยูน” อยู่ในพื้นที่เดิมได้ยากลำบาก โดยบางส่วนได้อพยพย้ายถิ่นไปหากินในทะเล จ.กระบี่ แทน และบางส่วนก็อาจต้องตายลง
นอกจากนั้น ยังมีปัญหามาจากผลกระทบจากตะกอนที่เกิดจากการขนส่งทางทะเล รวมทั้งปัญหาการเปิดหน้าดิน หรือการชะล้างมาจากพื้นที่บนฝั่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่จะทำให้ “พะยูน” อยู่ในพื้นที่เดิมได้ยากลำบาก โดยบางส่วนได้อพยพย้ายถิ่นไปหากินในทะเล จ.กระบี่ แทน และบางส่วนก็อาจต้องตายลง
ทั้งนี้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด ไม่ช่วยกันอนุรักษ์ หรือมีมาตรการที่ชัดเจน และทำกันอย่างจริงๆ จังๆ อนาคตสัตว์อนุรักษ์ขึ้นชื่อของ จ.ตรัง ก็คงต้องสูญพันธุ์หมดสิ้นไป ซึ่งถือเป็นสัญญาณวิกฤตที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง เพราะนั่นอาจหมายถึงวันที่ท้องทะเลกำลังเลวร้ายถึงที่สุดแล้ว
ข้อมูลจาก...ผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นทั่วไป